第二章ประวัติศาสตร์ของเมืองอิซูโมะ บทที่ 2
ท่องเที่ยวไปยังในตำนานต่างๆ
จากเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเมื่องอิซูโมะที่ถูกบันทึกในโคจิกิ เรื่องราวของเทพเจ้าที่ชื่อว่า ซูซาโน่ โนะ มิโคโตะได้กำจัดงูยักษ์ในเรื่องเล่า“ การกำจัดยามาตะ โนะ โอโรชิ” ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีตำนานเทพเจ้าแห่งอิซูโมะ โอคุนะนุชิ ได้มอบที่ดินของเขาให้กับอามาเทอราสึโอมิคามิ ผู้ปกครองดินแดนแห่งเทพในตำนานคุนิยูซุริ (การโอนดินแดน) และตำนานของเจ้ากระต่าสีขาวที่ได้รับการช่วยเหลือจากโอคุนินูชิ หลังถูกถลกหนัง ในอินาบะ โนะ ชิโระ อูซางิ (กระต่ายแห่งอินาบะ)
เมืองอิซูโมะถูกบันทึกลงโคจิกิ มีซูซาโน่ โนะ มิโคโตะได้เรื่องที่ชื่อว่า ยามาตะ โนะ โอโรชิ ซึ่งเรื่องนี้จะเกี่ยวกับอิซูโมะ โอคูนิโนชิผู้ได้อามาเทอราสึโอมิคามิ หรือคุนิยูซึริ เจ้าและได้รับการช่วยเหลือจากโอคุนิโนชิกระต่ายแห่งอินาบะ
นอกจากนี้ยังมี อิซูโมะ โนะ คุนิ ฟุโดกิ ซึ่งเป็นชุดของประเพณีของเมืองอิซูโมะ ที่ถูกรวบรวมไว้ในบันทืกทั้งหมด 733 เล่ม ของตำนานคุนิบุกิ (การดึงดินมารวมกัน) ซึ่งพระเจ้าได้รวบรวมโลกเข้าด้วยกันเพื่อจะสร้างประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้นหนังสือเล่มนี้ยังบอกถึงการก่อตั้ง“ ศาลเจ้าใหญ่อิซุโมะไทชา” และเกี่ยวกับต้นกำเนิดของญี่ปุ่น เรื่องราวเหล่านั้นมีต้นกำเนิดมาจากเมืองอิซูโมะมากมาย
จากการเข้าเยี่ยมชมบ้านเกิดของตำนานญี่ปุ่น ท่านจะได้สัมผัสกับโลกแห่งตำนานดั้งเดิมของญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง
แต่ก่อนที่จะซึมซับลึกลงไปในตำนานญี่ปุ่น โปรดจำไว้ว่าเทพจักรพรรดิหรือสถานที่สามารถเป็นที่รู้จักกันในชื่อที่แตกต่างกันออกไป อาจทำให้เราเข้าใจตำราโบราณได้ยากขึ้น
บางครั้งก็อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆของชื่อ หรือการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นเช่น: Yakamihime กลายเป็น Yagamihime หรือ Suserihime กลายเป็น Suseribime, Izanaki กลายเป็น Izanagi เป็นต้น ผู้ที่มีชื่อแตกต่างกันไปมากที่สุดคือ โอคุนินูชิ พระเจ้าผู้มี 5 ชื่อที่แตกต่างในโคจิกิ และ 7 ชื่อใน นิฮง โชกิ และเนื่องจากการมีเชื่อมโยงระหว่างชินโตกับพุทธศาสนา เขาจึงเรียกว่าไดโกกุซามะ หรือ เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง เนื่องจากตัวอักษรจีนในชื่อของเขาสามารถอ่านได้เหมือนกับเทพเจ้าในศาสนาพุทธที่เรียกว่า ไดโคคุเต็น ผู้คนจึงเริ่มเชื่อว่าพวกเขาเป็นเทพเจ้าองค์เดียวกัน
เพื่อให้ง่ายขึ้นเราจะเรียกชื่อเหล่านี้ตามชื่อที่สามัญที่สุดของพวกเขา และในตอนนี้ ขอเชิญท่านเตรียมพร้อมที่จะดำดิ่งลงไปในโลกที่น่าพิศวงและซับซ้อนของตำนานญี่ปุ่น!
ท่องไปในตำนาน บทที่ 1“ การกำจัดยามาตะ โนะ โอโรชิ”
ธรรมชาติที่แท้จริงของงูยักษ์ในตำนานที่โจมตี อิซูโมะ โนะ คุนิ
โคจิกิ (ประวัติของวัตถุโบราณ) ที่นำเสนอโดยโอโน่ อโซมิ ยาสุมาโระ และคนอื่น ๆ ในปีที่ห้าของช่วงเวลาวาโดะ (ปีค.ศ. 712) เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสร้างประเทศญี่ปุ่นจนถึงสมัยจักรพรรดินีซุยโกะ
การกำจัดยามาตะ โนะ โอโรชิ เป็นหนึ่งในตำนานของอิซูโมะ นั้นถูกบันทึกไว้ในเล่มแรก
จากตำนานญี่ปุ่นทั้งหมด เทพที่โดดเด่นที่สุดคือซูซาโน่ โนะ มิโคโตะ ด้วยอารมณ์อันป่าเถื่อนดุร้ายและเต็มไปด้วยความเป็นลูกผู้ชาย ผสมกับบุคลิกอันซับซ้อนของเขา เขาจึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะมนุษย์มากกว่าเป็นเทพเจ้า
จากตำนานของยามาตะ โนะ โอโรชิ เริ่มต้นด้วยการขับไล่ของซูซาโน่ พ่อของซูซาโน่ได้ขับไล่เขาออกไปเพราะไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา ซูซาโน่จึงร้องไห้แล้วร้องไห้เล่า ว่าเขาต้องการพบกับแม่ผู้ล่วงลับของเขา ซูซาโน่จึงไปยังสวรรค์ (ทาคามะกาฮาร่า) ที่ซึ่งอมาเทอราสึ โอมิคามิ ผู้เป็นน้องสาวของเขา (เทพีแห่งดวงอาทิตย์) อาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการกระทำตัวที่ไม่เหมาะสมของซูซาโน่ อมาเทอราสึ โอมิคามิจึงหลบไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่เรียกว่า อมาโนอิวายาโดะ เนื่องจากการที่เทพีแห่งดวงอาทิตย์หลบไปซ่อนตัวอยู่นั้น โลกจึงกลายเป็นความมืดมิดและภัยพิบัติก็ได้เกิดขึ้นบนโลก เมื่อเห็นอย่างนี้เทพเจ้าแห่งสวรรค์ก็ดึงอมาเทอราสึ ออกจากอมาโนอิวายาโดะ และขับไล่ซูซาโน่ออกไป
ซูซาโน่สืบเชื้อสายมาจากสถานที่ที่ชื่อว่าโทริคามิ ในโอคุอิซูโมะ, ชิมาเนะ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อภูเขาเซ็นสึอุซาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นกำเนิดของแม่น้ำฮิคาวะที่ไหลผ่านอิซูโมะ หลังจากเดินไปสักพักหนึ่งซูซาโน่ก็ก็พบกับหญิงสาวและพ่อแม่ของเธอกำลังร้องไห้อยู่ เขาจึงถามว่าเป็นอะไร พวกเขาตอบว่ายามาตะ โนะ โอโรชิ (เจ้างูยักษ์) กำลังจะกินคุชินะดาฮิเมะ ซึ่งเป็นลูกสาวของคู่รัก ดังนั้นซูซาโน่ จึงตกลงแลกกับการแต่งงานของลูกสาวเพื่อกำจัดยามาตะ โนะ โอโรชิ
มันถูกบันทึกลงในส่วนของโคจิกิว่าดังนี้
โอโรชิมีดวงตาสีแดงขนาดใหญ่ มีแปดหัวและแปดหางในร่างเดียวกัน มีมอส ต้นไม้และพุ่มไม้ งอกออกมาจากร่างกายของมัน และความยาวของตัวนั้นครอบคลุมหุบเขาแปดหุบเขาและภูเขาแปดลูก ท้องของมันบวมใหญ่และมีเลือดไหลออกมาอยู่เสมอ
ผู้คนต่างกลัวเจ้างูยักษ์มาก
มีการตีความหมายของตำนานยามาตะ โนะ โอโรชิมากมาย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงของโอโรชิ อาจเป็นแม่น้ำฮิคาวะ ซึ่งมีน้ำท่วมเกิดขึ้นอย่างซ้ำ ๆ
สถานที่ที่ซูซาโน่ลงมาอยู่ใกล้กับต้นกำเนิดของแม่น้ำฮิคาวะที่โทริคามิในโอคุอิซูโมะ บางคนเชื่อว่าโอคุอิซูโมะมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับตำนานของยามาตะ โนะ โอโรชิ เพราะสถานที่นี้ถูกกล่าวว่าเป็นที่ของงานผลิตเหล็กในสมัยโบราณของทาทาระ โดยทาทาระเป็นวิธีโบราณของญี่ปุ่นในการทำเหล็ก โดยใช้เครื่องเป่าลมเพื่อเป่าลมเข้าไปในเตา
เพื่อที่จะผลิตถ่านสำหรับช่างเหล็กดั้งเดิมของทาทาระ ต้นไม้ถูกโค่นลงในปริมาณมหาศาลทำให้เกิดน้ำท่วม ในกระบวนการเก็บเกี่ยวทรายเหล็ก (วัตถุดิบในการผลิตเหล็ก) บริเวณท้ายน้ำของแม่น้ำฮิคาวะ ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ดินถูกปนเปื้อนสีแดงด้วยสิ่งสกปรก คุชินะดะฮิเมะ เป็นสัญลักษณ์ของนาข้าวที่ถูกทำลายโดยน้ำท่วมเป็นประจำทุกปีด้วยน้ำเหล็กปนทรายที่ล้นจากแม่น้ำฮิคาวะ
ในภูมิภาคอุนนาน โอคุอิซูโมะนั้นเต็มไปด้วยตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดของยามาตะ โนะ โอโรชิ เช่นศาลเจ้าอินาดะ ที่บูชาคุชินาดาฮิเมะ และ ซูซาโน่ และศาลเจ้าซูกะ แห่งใหม่ของคุชินาดาฮิเมะ
แม่น้ำฮิคาวะที่ไหลผ่านเมืองอิซูโมะ ทำให้รูปแบบขนาดใหญ่บนสันทรายของมันคล้ายกับเกล็ดของงู ที่ดินตามแนวแม่น้ำพลิกผันและมีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มทั้งสองฝั่งเมื่อน้ำไหลลงสู่ทะเล เมื่อมองรูปร่างในปัจจุบัน อาจจะยากที่จะจินตนาการว่ามันเป็นงูยักษ์ อย่างไรก็ตามหากมีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน มันอาจแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่รุนแรงอย่างโอโรชิ
แม้ว่าจะมีการคาดเดาหลายครั้งเกี่ยวกับการกำจัดของยามาตะ โนะ โอโรชิ แต่ก็ไม่มีวิธีในการไขความลึกลับของความหมายที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้จินตนาการภาพละครออกมางดงามเช่นนี้
ท่านไม่คิดจะไปท่องเที่ยวดินแดนนี้อย่างที่ซูซาโน่ทำหรือ?
ท่องไปในตำนาน บทที่ 2 “การโอนถ่ายแผ่นดิน”
เหตุใดศาลเจ้าใหญ่อิซูโมะไทชาจึงถูกสร้างขึ้น คำตอบนั้นอาจแอบแฝงอยู่ในเรื่องราวของเหล่าเทพที่ต่อสู้กันเพื่อจะควบคุมดินแดน
กาลครั้งหนึ่ง อิซูโมะ โนะ คุนิ ถูกปกครองโดยเทพเจ้าที่ชื่อโอคุนินูชิ โนะ โอคามิ
อย่างไรก็ตาม อมาเทอราสึ โอมิคามิ ผู้ปกครองสวรรค์ได้เห็นสิ่งนี้และเริ่มคิดว่า อะชิฮาระ โนะ นาคัทสึคุนินั้นควรถูกปกครองโดยลูก ๆ ของเธอ
*อะชิฮาระ โนะ นาคัทสึคุนิ: มีหลายทฤษฎีกล่าวถึงที่ตั้งของมัน แต่ในข้อความนี้จะหมายถึงอิซูโมะ
จากนั้นอมาเทอราสึ ได้กล่าวว่า "ไป จงทำให้เทพเจ้าทั้งหมดบนโลกเชื่อฟังเจ้า" โดยส่งอะเมะโนะโฮะฮิ ไป แต่อย่างไรก็ตามอะเมะโนะโฮะฮิ รู้สึกเคารพโอคุนินุชิ เป็นอย่างมากจนเขาลงเอยด้วยการเป็นผู้รับใช้ของเขา และไม่กลับขึ้นไปอีก
ถัดมา อมาเทอราสึก็ได้ส่งอะเมะโนะวากะฮิโกะ ลงไป แต่เทพองค์ได้ตกหลุมรักลูกสาวของโอคุนินุชิ และจบลงด้วยการสร้างพระราชวังและอาศัยอยู่ที่นั่น จากนั้น อมาเทอราสึส่งไก่ฟ้าสีเขียวชื่อนาคิเมะ เพื่อค้นหาสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ ไก่ฟ้าสีเขียวถูกฆ่าตายโดยอะเมะโนะวากะฮิโกะ
เพราะไม่มีใครส่งข่าวกลับมาเลย อมาเทอราสึจึงตัดสินใจส่งเทพเจ้าสององค์คือ ทาเคมิคะซุจิ ผู้ที่ชอบโอ้อวดถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง และอะเมะโนะโทริฟุเนะ ผู้ที่มักแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง
หลังจากที่เทพทั้งสองลงมาบนชายฝั่งของอิซะสะในดินแดนอิซูโมะ (ปัจจุบันคือหาดอินาซา โนะ ฮามะ) พวกเขาก็ดึงดาบของพวกเขาออกมา ยื่นด้ามจับลง และนั่งลงที่ดาบของพวกเขาไขว้ตัดกัน
พวกเขาพูดกับโอคุนินุชิด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “พวกข้าได้รับคำสั่งจากอมาเทอราสึ ท่านได้ตัดสินใจว่าอะชิฮาระ โนะ นาคัทสึคุนิ จะถูกปกครองโดยลูก ๆ ของเธอ เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”
โอคุนินุชิตอบว่า "นี่ไม่ใช่ที่ของข้าที่จะตอบคำถามเช่นนี้ ลูกชายของข้า โคโตชิโระนุชิ จะให้คำตอบแก่พวกเจ้า แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่ เขากำลังเล่นบนแหลมมิโฮะ จับนกและปลา"
ทาเคมิคะซุจิส่งอะเมะโนะโทริฟุเนะ ไปพบกับโคโตะชิโระนุชิ และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการละทิ้งดินแดน โคโตะชิโระนุชิได้ตอบว่า“ ข้าจะมอบดินแดนให้กับลูก ๆ ของ อมาเทอราสึ อย่างที่เจ้าพูด”
ไม่นานทาเคมินากาตะ ลูกชายอีกคนของโอคุนินุชิ ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแกร่งของเขา ได้กลับมาพร้อมถือหินก้อนใหญ่ ทาเคมินากาตะขว้างหินโดยบอกว่า "ถ้าเจ้าต้องการประเทศนี้ มาดูกันว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน" จากนั้นเขาก็คว้าแขนของทาเคมิคะซุจิเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ แขนของทาเคมิคะซุจิ จึงกลายเป็นเสาน้ำแข็งและดาบคม ทาเคมินากาตะสะดุ้งด้วยความตกใจ ดังนั้น ทาเคมิคะซุจิจับแขนของทาเคมินากาตะและบิดมันเบา ๆ แล้วโยนเขาลงไปที่พื้น ทาเคมินากาตะตกใจกลัวและวิ่งหนีไป
ทาเคมิคะซุจิได้ติดตามทาเคมินากาตะ ไปในขณะที่เขากำลังหนี ในที่สุดติดตามเขาไปยังชินาโน่ โนะ คุนิ (หรือจังหวัดนากาโน่ในปัจจุบัน) ได้จับเขาไว้ และขังไว้ที่ทะเลสาบซูวะ
ทาเคมินากาตะได้กล่าวอ้อนวอนว่า “ข้าสัญญาว่าจะไม่ก้าวเท้าออกจากดินแดนซูวะ ข้าจะยกอะชิฮาระ โนะ นาคัทสึคุนิ ให้กับเจ้าทั้งหมด ดังนั้นโปรดช่วยเมตตาข้าด้วย"
ทาเคมิคะซุจิได้เดินทางกลับไปที่อิซูโมะ และรายงานกับโอคุนินุชิ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โอคุนินุชิได้ตอบว่า "ข้าจะมอบประเทศนี้ให้ตามที่เจ้าต้องการ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าอยากให้เจ้าสร้างวิหารที่ยิ่งใหญ่เหมือนวังของอมาเทอราสึในสวรรค์" ทาเคมิคะซุจิได้ตกลงยอมรับข้อเสนอ และสร้างพระราชวังเพื่อโอคุนินุชิว่ากันว่าวัดแห่งนี้คือศาลเจ้าใหญ่อิซุโมะไทชา
ตำนานนี้ถูกบันทึกอยู่ในโคจิกิ (บันทึกของวัตถุโบราณ) และนิฮง โชกิ (พงศาวดารประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งสร้างขึ้นในยุคนารา
ท่ามกลางตำนานมากมายที่เป็นสากลและเนื้อหาที่น่าเหลือเชื่อ เรื่องราวของตำนาน คุนิยูซุรินี้ (การถ่ายโอนที่ดิน) มีเนื้อหาของการต่อรองทางการเมืองและมนุษยชาติที่มีข้อบกพร่อง ซึ่งเราสามารถเชื่อมโยงกับยุคปัจจุบันได้
ลองเดินบนหาดอินาสะ โนะ ฮามะ สถานที่แห่งตำนานนี้ ในขณะที่พยายามสัมผัสถึงอารมณ์เดียวกันกับอมาเทอราสึ ที่ส่งผู้ส่งสารไปเพื่อควบคุมอะชิฮาระ โนะ นาคัทสึคุนิ โคโตะชิโระนุชิผู้ซึ่งพร้อมที่จะยอมยกประเทศให้ ในขณะที่ ทาเคมินากาตะพยายามปกป้องมัน แม้จะล้มเหลว และโอคุนินุชิ ผู้ที่ยอมยกประเทศของเขาให้
ท่องไปในตำนาน บทที่ 3 “ตำนานคุนิบุกิ (การรวมดินแดน)”
การแยกและรวมดินแดนที่เกิดขึ้นจากพลังของเหล่าทวยเทพ ...
กาลครั้งหนึ่ง ยัทสึคะมิซูโอะมิซูนุ พระเจ้าผู้สร้างอิซูโมะ ได้มองดูดินแดนแห่งอิซูโมะ และเกิดความคิดว่า “ประเทศนี้เหมือนผ้าผืนยาวบาง ๆ น่าจะหาที่ดินที่จะเอามาเย็บรวมกันเพื่อทำให้มันใหญ่ขึ้น"
เขามองข้ามทะเลไปยังดินแดนที่ว่างเปล่า และได้ข้ามไปพบเจอดินแดนที่ชื่อว่าชิรางิ บนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งมีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ มิโคโตะได้ใช้คันไถแทงลงไปบนพื้นราวกับว่ามันเป็นปลาตัวใหญ่ แล้วขุดขึ้นมา และแยกดินแดนออก ราวกับว่าเขากำลังฉีกเนื้อของปลาออกจากกัน
จากนั้นเขาก็ผูกเชือกที่เหนียวแน่นและถักเข้ากับพื้นแล้วพูดว่า“ คุนิโยะ โคอิ” (แผ่นดินจงมานี่) ดึงเขาด้วยกำลังทั้งหมด แผ่นดินเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ และลื่นไหลเหมือนเรือในแม่น้ำเข้ามาติดกับดินแดนอิซุโมะอย่างรวดเร็ว
ดินแดนที่ถูกเพิ่มเข้ามาถูกเรียกว่า คิซูกิ โนะ มิซากิ ซึ่งทอดยาวจากโคซูโช ปัจจุบันถึง ฮิโนะมิซากิ เชือกดึงถูกผูกเข้ากับเสาซึ่งกลายเป็นซาฮิเมะยาม่า (ปัจจุบันคือภูเขา ซานเบ้) และตัวเชือกก็กลายเป็นโซโนะ โนะ นากาฮาม่า
หลังจากนั้น พระเจ้าใช้วิธีเดียวกันในการดึงและรวมดินแดนแห่งซาดะ เข้ากับดินแดนทางทิศเหนือของเขา (จากโคซุไปทางทิศตะวันออกคาชิม่า-โชในปัจจุบัน) และดินแดนคุรามิ (ปัจจุบันชิมาเนะ-โช, เมืองมัทซึเอะในปัจจุบัน ) ในที่สุดดินแดนที่ดึงออกมาจากดินแดนโคชิ ในภูมิภาคโฮคุริคุ กลายเป็นมิโฮะ โนะ ซากิ (ปัจจุบันมิโฮะ โนะ เซกิ-โช เมืองมัทซึเอะในปัจจุบัน)
คราวนี้เชือกที่เขาใช้ในการดึงดินแดนนั้น ติดอยู่กับเสาที่กลายเป็น ฮิ โนะ คามิทาเคะ (ปัจจุบันคือภูเขาไดเซ็น) ในดินแดนโฮวกิ และตัวของเชือกเองนั้นก็กลายเป็น โยมิโนะ ชิมะ (ยูมิกาฮามาในปัจจุบัน)
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ข้าดึงดินแดนนั้นเสร็จแล้ว” และปักไม้เท้าของเขาไว้กับพื้นแล้วพูดว่า “โอเอะ” (หรือมีความหมายว่า “เสร็จ”) ดังนั้นดินแดนจึงถูกเรียกว่า โอเอะ
ศาลเจ้านากาฮาม่านั้นบูชายัทสึคะมิซูโอะมิซูนุ ที่เป็นตัวละครหลักของตำนานคุนิบูกิ ซึ่งเปิดตัวตำนานอิซูโมะ โนะ คุนิ ฟุโดกิ
ความลึกลับของภูมิศาสตร์สมัยใหม่และชื่อสถานที่ที่ตรงกับในตำนาน
ตำนานคุนิบุกิ (การรวมดินแดน) ถูกอธิบายไว้ ณ จุดเริ่มต้นของตำนานอิซูโมะ โนะ คุนิ ฟุโดกิอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ตำนานมากมายเกี่ยวกับอิซูโมะ ซึ่งทำให้เรื่องราวของมันเหมาะสมที่จะเรียกว่าเป็นงานของพระเจ้า
เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดนี้ อาจตีความได้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่มันอาจจะเป็นมากกว่านั้น เหตุผลหนึ่งที่เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นมากกว่าเพียงนิยายนั้น คือสถานที่ตลอดทั้งตำนานนี้ ตรงกับสภาพทางภูมิศาสตร์ปัจจุบันและชื่อสถานที่ของสถานที่จริง
หากท่านตรวจสอบแผนที่ ท่านสามารถยืนยันได้ว่าอิซูโมะอยู่ทางใต้ของทะเลสาบ ชินจิและนาคาอุมิ ไปทางทิศเหนือคือคาบสมุทรชิมาเนะ มีความยาวและแคบจากตะวันออกไปตะวันตกที่ถูกแบ่งออกเป็นสี่ภูมิภาคหลัก ที่นี่เป็นที่ที่คุนิบุกิกลายเป็นภูเขาไดเซ็นและภูเขาซานเบ และเชือกก็กลายเป็นโซโนะ โนะ นากาฮาม่า และ โยมิ โนะ ชิม่า สถานที่ทั้งหมดเหล่านี้ตรงกับที่อธิบายไว้ในตำนาน
มีทฤษฎีที่ว่าคาบสมุทรชิมาเนะนั้นจมอยู่ใต้น้ำในสมัยโจมง (14,000 - 300 ก่อนคริสตศักราช) และแม้ว่าภูมิประเทศในปัจจุบันจะก่อตัวขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ช่างน่าประหลาดใจที่ผู้คนในสมัยโบราณจินตนาการไว้ว่าเป็นฝีมือของพระเจ้ว
หากท่านมองไปทางทิศเหนือของอิซูโมะ ท่านสามารถมองเห็นคาบสมุทรชิมาเนะ: เทือกเขาที่ทอดตัวยาวจากตะวันออกไปตะวันตกที่ และคุณสามารถมองเห็นทะเลสาบชินจิในระยะไกล ในขณะที่คุณจ้องมองลองจินตนาการถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมิโคโตะ ที่ทำให้โลกแยกออกและดึงมันเข้าด้วยกัน
อิซูโมะ โนะ คุนิฟุโดกิ
การบรรยายที่ถูกรวบรวมใน 733 เกี่ยวกับดินแดนแห่งอิซูโมะ จะบันทึกที่มาของชื่อสถานที่, สถานะของที่ดิน, ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น, สุภาษิตและอื่น ๆ ตัวสำเนาต้นฉบับได้สูญหายไปแล้ว ในปัจจุบันมีเพียงสำเนาเท่านั้น จากในทั้งหมดห้าฟุโดกิของญี่ปุ่น (ฮิตาชิ, ฮาริมะ, อิซูโมะ, ฮิเซ็น และ บุงโก) อิซูโมะ โนะ คุนิฟุโดกิ เป็นเพียงอย่างเดียวที่ถูกส่งผ่านลงมาเกือบเหมือนของต้นฉบับ