เดินเที่ยวชมศาลเจ้าสุสะที่ซึ่งเทพซูซาโนโอะหลับใหลอยู่ และพบกับต้นสนญี่ปุ่นขนาดยักษ์อายุ 1,300 ปีที่รอต้อนรับคุณอยู่
ศาลเจ้าสุสะเป็นศาลเจ้าที่สักการะ "เทพซูซาโนโอะ" หนึ่งในเทพที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะของสถานที่ที่เติมเต็มพลังแห่งจิตวิญญาณมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
ภายในเขตศาลเจ้าแวดล้อมไปด้วยป่าไม้ ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์
ศาลเจ้าสุสะ
ในตำนานเก่าแก่มีเรื่องเล่าขานว่าศาลเจ้าสุสะแห่งนี้คือสถานที่ที่เทพซูซาโนโอะโนะมิโคโตะได้ละสังขารและตัดสินใจที่จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติของที่นี่ตราบชั่วนิรันดร์ เชื่อกันว่าดวงวิญญาณของเทพซูซาโนโอะสถิตอยู่ทั่วหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งนี้ แม้ว่าเทพซูซาโนโอะจะได้รับการสักการะอยู่ที่ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะที่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน แต่ก็มีความเชื่อกันมานานแล้วว่าศาลเจ้าสุสะเป็นศาลเจ้าที่เทพซูซาโนโอะสถิตอยู่โดยแท้จริง แม้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักก็ตาม และจากตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้า เทพซูซาโนโอะได้ฆ่ายามาตะโนะโอโรจิ สัตว์ประหลาดงูยักษ์ 8 หัว และพบดาบวิเศษในหางของงูยักษ์ จากนั้นท่านก็ไปรับอินาดะฮิเมะมาเป็นภรรยาและเริ่มเสาะหาสถานที่ที่จะสร้างพระราชวัง เมื่อมาถึงหุบเขาแห่งนี้ เทพซูซาโนโอะก็ได้กล่าวกับอินาดะฮิเมะว่า "ผืนดินแห่งนี้ทำให้จิตใจของข้าสงบสุขและทำให้รู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก ข้าจะให้ผืนดินแห่งนี้ได้ใช้นามของข้า และเรามาอาศัยอยู่ที่นี่กันเถิด"
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ศาลเจ้าสุสะได้ถูกย้ายจากสถานที่ตั้งดั้งเดิมซึ่งอยู่บนลาดเขาของเนินเขาที่อยู่ใกล้ๆ มายังสถานที่ในปัจจุบัน และในช่วงเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมาก็ถูกสร้างใหม่และปรับปรุงอยู่หลายครั้ง ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งขนานกับแม่น้ำสุสะที่ไหลผ่านด้านข้างของศาลเจ้าและเป็นเส้นแบ่งเขตของพื้นที่ศาลเจ้าอีกด้วย แม่น้ำสายนี้มีสะพานข้ามที่ทาสีดำไว้สำหรับงานพิธีพิเศษสำหรับขุนนางระดับสูงในสมัยก่อน ซึ่งภายในศาลเจ้า นอกจากบริเวณอุโบสถหลักที่ถือเป็นเคหาสน์ของเทพเจ้าแล้ว ก็ยังมีอุโบสถขนาดเล็ก ฯลฯ อยู่อีกบางส่วน ศาลเจ้าที่อยู่ตรงข้ามกับอุโบสถหลักและอยู่ห่างไปไม่ไกลก็คือศาลสถิตของเทพอามาเทราสุโอมิคามิผู้เป็นพี่สาวของเทพซูซาโนโอะนั่นเอง
ทางเข้าไปยังศาลเจ้า
ผู้มาสักการะศาลเจ้าสุสะจะต้องผ่านประตูซุยจินมงก่อน ซุยจินมงเป็นประตูไม้ขนาดเล็กที่มีหลังคาอยู่ด้วย ด้านล่างหลังคาจะมีรูปปั้นโคมะอินุ (สัตว์เทพที่มีรูปร่างกึ่งสุนัขกึ่งสิงโต) ซึ่งถูกทาด้วยสีทองและสีสว่างอื่นๆ คู่หนึ่งตั้งอยู่ เมื่อเดินผ่านประตูซุยจินมงและอุโบสถขนาดเล็กที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั้งซ้ายและขวาตลอดทางมาแล้วก็จะมาถึงไฮเด็น (ที่สำหรับกราบไหว้) ซึ่งเป็นอุโบสถสำหรับสวดสักการะที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของอุโบสถหลัก ผู้คนจะมาสวดภาวนาและถวายเครื่องสักการะตามธรรมเนียมกันที่นี่ และศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีบันไดพร้อมหลังคาเป็นระยะทางยาวที่เชื่อมตั้งแต่ไฮเด็นไปจนถึงอุโบสถหลักเช่นเดียวกับศาลเจ้ามากมายที่สร้างในรูปแบบเดียวกันนี้ และมีแต่นักบวชของศาลเจ้าเท่านั้นที่สามารถเดินขึ้นบันไดนี้ได้ บุคคลอื่นจะต้องวนไปทางด้านข้างเพื่อที่จะได้เห็นอุโบสถหลัก
เขตที่ตั้งของศาลเจ้านั้นเต็มไปด้วยป่าไม้นานาพันธุ์ และมีเพียงทางเดินแคบๆ ทางด้านซ้ายและขวาของอุโบสถหลักเท่านั้น ดังนั้นการที่ได้เห็นสถาปัตยกรรมสูงถึง 12 เมตรนี้เป็นครั้งแรกจึงน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก ผู้มาสักการะจะต้องชะเง้อคอมองจึงจะสามารถเห็นอุโบสถหลักทั้งหมดจากพื้นที่แคบๆ นี้ได้อย่างเต็มตา ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้รู้สึกประทับใจกับภาพตรงหน้ามากขึ้นไปอีก ในช่วงปี 1500 อุโบสถหลักได้ถูกปลูกสร้างในความสูงเป็นเท่าตัวด้วยการออกแบบที่คล้ายกันนี้ ส่วนอุโบสถหลักในปัจจุบันเป็นอุโบสถที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19
รูปแบบไทฉะซุคุริ
อุโบสถหลัก (ฮงเด็ง) ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบยกพื้นสูงด้วยเสาที่เป็นไม้สูงใหญ่ เรียกว่าไทฉะซุคุริ(สถาปัตยกรรมศาลเจ้าใหญ่) และเป็นสถาปัตยกรรมที่มีต้นแบบมาจากศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะจึงก่อสร้างด้วยไม้สนที่ไม่มีการทาสี หลังคาก็ถูกคลุมด้วยแผ่นไม้สนและมีการตกแต่งบริเวณสันหลังคาด้วยคัตสึโอะกิและจิกิที่มักพบได้ทั่วไปตามศาลเจ้าต่างๆ คัตสึโอะกิมักเป็นแท่นไม้กลมปลายเรียวแคบและถูกวางเป็นแนวระนาบ ส่วนจิกิจะถูกตั้งไขว้กันเป็นรูปตัว V จากสันหลังคา อุโบสถหลักจะถูกล้อมไว้ด้วยรั้วแผ่นไม้สนที่สวยงาม และแม้ว่าทั้งสองด้านของศาลเจ้าจะมีประตูขนาดเล็กอยู่ แต่ผู้มาสักการะจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป และจากความเชื่อของชินโต พื้นที่ด้านในจะถูกปกปิดจากสายตาของมนุษย์เพื่อไม่ให้เทพเจ้าทั้งหลายตกใจเมื่อพบกับความไม่น่าดูและความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ด้านหลังของอุโบสถหลักยังมีต้นสนขนาดยักษ์ที่ถูกเรียกว่าโอสุงิซัง โดยต้นสนนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 2 เมตร และสูงมากกว่า 30 เมตร ถือเป็นต้นสนที่สูงที่สุดในพื้นที่แถบนี้ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่าต้นสนต้นนี้มีอายุมากกว่า 1,300 ปีแล้ว และเป็นที่เคารพในฐานะสิ่งที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งรากของต้นสนพาดผ่านไปทั่วผืนดินราวกับงู มีผู้มาสักการะจำนวนมากได้มาแตะที่รากของต้นสนและถวายเครื่องสักการะให้แก่จิตวิญญาณของต้นไม้นี้
7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งศาลเจ้าสุสะ
ศาลเจ้าสุสะเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของตำนาน "7 สิ่งมหัศจรรย์" สิ่งมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งก็คือบ่อน้ำที่ถูกเรียกว่าชิโอะโนะอิ ที่มีน้ำเกลือออกมาจากบ่อน้ำ เชื่อกันว่าบ่อน้ำแห่งนี้เชื่อมต่อกับทะเลที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างน่ามหัศจรรย์ นอกจากนี้ยังมีต้นซากุระไร้เงาที่ถูกเรียกว่า "คาเกนาชิซากุระ" และต้นสนที่ถูกเรียกว่า "ไอโออิโนะมัตสึ" ซึ่งแสดงถึงชายและหญิง รวมทั้งใบของต้นโอ๊กที่เป็นรูจนร่วงหล่นลงมาก็ชวนให้นึกถึงสิ่งมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เล่าว่าหลังจากที่อินาดะฮิเมะได้ให้กำเนิดบุตรแล้ว ก็ห่อรกด้วยใบของต้นโอ๊กและมัดด้วยใบของต้นสน จากนั้นต้นโอ๊กและต้นสนก็ถือกำเนิดขึ้นมา ส่วนผืนนาใกล้ๆ กันมีหินที่ถูกเรียกว่าอามะสึโบะ ซึ่งเป็นหินที่มีหญ้าขึ้นเต็มร่องหิน และกล่าวกันว่าจะชักนำให้เกิดน้ำท่วมหากมีผู้ไปรบกวนหินนั้น และที่ศาลเจ้ายังเลี้ยงม้าที่เรียกว่า "ชินเมะ (ม้าศักดิ์สิทธิ์)" กล่าวกันว่ามันสามารถทำนายภัยพิบัติได้ด้วยการเปลี่ยนเป็นสีขาว และสิ่งมหัศจรรย์เรื่องสุดท้ายก็คือ "โฮชินาเมระ" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จุดสีขาวที่มักเกิดบนผิวหินตรงทางลาดชันบนเนินเขาที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำสุสะ และเชื่อกันว่าจำนวนจุดสีขาวที่ปรากฏให้เห็นจะเป็นการทำนายว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิตในครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร